การแพ้เครื่องสำอาง

เครื่องสำอางที่นิยมใช้ในชีวิตประจำวัน  สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภทคือ

เครื่องสำอาง

  • ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว  (Skin care products)
  • ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว(Skin care products)
  • ผลิตภัณฑ์กันแดด(Sun protective products)
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม(Hair care products)
  • ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย(Deodarants)

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ควรพิจารณาถึงขบวนการผลิตที่มีคุณภาพ และเชื่อถือได้ ตลอดจนการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล อาการแพ้และระคายเคืองเป็นปัญหาที่พบบ่อยครั้ง เนื่องจากการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง โดยขาดความรู้และความระมัดระวัง

อาการระคายเคือง
(Irritant contact  dermatitis)

อาการระคายเคืองสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน มักประกอบด้วยอาการแห้ง ตึง แดง และคันบริเวณผิวหนัง กรณีรุนแรงผิวอาจไหม้ได้

ปัจจุบันไม่ค่อยพบปัญหานี้  เนื่องจากเครื่องสำอางที่ผลิตในปัจจุบันไม่มีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองมากเท่าในสมัยก่อน แต่อาจพบบ้างในกรณีเครื่องสำอางที่ส่วนผสมของ AHA หรือ ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีการรับรองคุณภาพ กรณีอาการแพ้เฉพาะสารบงชนิดที่มีอยู่ในเครื่องสำอาง  หรือเรียกว่า การแพ้สารสัมผัส (Allergic contact dermatitis) ประกอบด้วยอาการผื่น แดง หรือ บวมและคัน หากอาการรุนแรงอาจมีน้ำเหลืองไหล ซึ่งจะปรากฏอาหารอย่างชัดเจนเมื่อใช้เครื่องสำอางไปได้ระยะหนึ่ง ลักษณะอาการแพ้เครื่องสำอางอาจคล้ายกับการแพ้สารเคมีชนิดอื่น ๆ จึงอาจทำให้เกิดความสับสน

ภาพอาการระคายเคืองจากการแพ้สัมผัส

วิธีสังเกตง่าย ๆ เมื่อมีอาการแพ้ หรืออาการอันไม่พึงปรารถนา

  1. อาการปวดแสบร้อน แดง คัน มักเกิดหลังการใช้เครื่องสำอาง ประมาณ 2 วัน เมื่อหยุดใช้ อาการมักหายไปเอง  ส่วนอาการคัน มีผื่นแดงเล็กน้อยจนถึงกรณีรุนแรงเป็นตุ่มน้ำ บริเวณที่พบบ่อยครั้งคือ บริเวณ รอบดวงตา เนื่องจากผิวมีความบอบบางมากกว่าบริเวณอื่น
  2. อาการผื่น ลมพิษ และผื่นบวมแดง กรณีที่อาการไม่รุนแรงอาจมีอาการบวมเฉพาะที่เช่น บริเวณหนังตา แต่หากอาการรุนแรง อาจพบผื่นบวมทั่วใบหน้าและอาจมีผลต่อระบบอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบทางเดินหายใจ มีอาการหายใจไม่ออก แน่หน้าอกเป็นต้น
  3. เกิดรอยขาว ทำให้สีผิวบนใบหน้าไม่สม่ำเสมอ บางครั้งอาจเกิดรอยด่างขาวแบบถาวร ซึ่งเกิดเนื่องจากการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) หรือจากการใช้ เครื่องสำอางที่ทำให้หน้าขาว ซึ่งปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ประกาศห้ามใช้ไอโดรควิโนนในเครื่องสำอาง แต่ไม่ได้ห้ามแพทย์ใชัในการรักษา
  4. เกิดผื่นดำ เนื่องจากหลังการใช้เครื่องสำอางแล้วผิวต้องสัมผัสกับแสงแดด ทำให้สารที่ผสมอยู่ เกิดปฏิกิริยากับแสง และเกิดเป็นรอยดำบนผิวหนัง เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ส่วนผสมของน้ำหอม 
  5. การเปลี่ยนแปลงของผมและเล็บ โดยหักและเปราะง่าย สาเหตุเนื่องจากสารเคมีในน้ำยาเปลี่ยนสีผม น้ำยาดัดผม หรือน้ำยาทาเล็บ
  6. การเกิดสิว ไม่ใช่อาการแพ้ที่แท้จริง แต่เป็นอาการที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อใช้เครื่องสำอางไปนาน ๆ สารที่มีส่วนผสมของน้ำมัน อาจทำให้เกิดสิว เช่น ลาโนลิน(Lanolin) IPM และ Mineral Oil เป็นต้น

เครื่องสำอางประเภทต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดการแพ้  สามารถจำแนกได้ดังนี้

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า เช่น สบู่ ครีมหรือเจล สำหรับทำความสะอาดผิวหน้าและผิวกาย โดยเฉพาะสบู่ประเภทที่มีสารระงับกลิ่นกาย มักทำให้เกิดผื่นแพ้ เนื่องจากมีส่วนผสมของสารกันเสียและน้ำหอม

ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยบำรุงสุขภาพผิว ได้แก่ โลชั่นสมานผิว (Astringents) มอยส์เจอร์ไรเซอร์(Moisturizers)

โลชั่นสมานผิว(Astringents) หรือ โทนเนอร์(Toner) ใช้เพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้างในรูขุมขนหลังการล้างหน้า  สารประกอบที่อาจก่อนให้เกิดอาการแพ้คือ แอลกอฮอล์  และกรดลิซิลิก(Salicylic acid) อาการที่พบเมื่อเกิดอาการแพ้  เช่น  ระคายเคือง ผิวหนังแดง คัน  แสบหรือมีรอยไหม้

มอยเจอร์ไรเซอร์ (Moisturizers) สารประกอบหลักในมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ มีตุ่มแดง คัน เช่น โพรพิลีนไกลคอลโปรตีน วิตามินบางชนิด อาการแพ้พบบ่อยเกิดเนื่องจากลาโนลิน

ผลิตภัณฑ์กันแดด การแพ้ผลิตภัณฑ์กันแดดอาจเกิดเนื่องจากการแพ้สารกันแดดโดยตรง หรืออาจเกิดการแพ้เมื่อสารกันแดดทำปฏิกิริยากับแสง สารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้บ่อย คือสารกลุ่ม PABA (Paramino  benzoic acid) ซึ่งปัจจุบันเลิกใช้แล้วและออกซี-เบนโซน (Oxybenzone) นอกจากนี้อาจแพ้สารกันเสียหรือสีที่เป็นส่วนผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและดูแลเส้นผม เช่น แชมพูและครีมนวด มักมีสารก่อฟองที่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรืออาการคันและเป็นผื่นแดงที่หนังศีรษะ เช่น สารกลุ่มโซเดียมและแอมโมเนียมลอรีลซัลเฟต(Sodiumand ammonium lauryl sulfate) 

ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย มักทำให้เกิดอาการผื่นแพ้ เนื่องจากส่วนผสมของน้ำหอม หรือเกลือของอลูมิเนียม

นอกจากนี้ เครื่องสำอางที่มีสี เช่น อายแชโดว์บลัชออน หรือลิปสติก อาจทำให้เกิดอาการอักเสบ แดง และคัน บนบริเวณที่ใช้  เนื่องจากมีส่วนผสมของสี น้ำหอม และสารที่ทำให้เกิดความมันวาวต่าง ๆ

สารประเภทใดในเครื่องสำอางที่มักทำให้เกิดอาการแพ้

น้ำหอมและสารกันเสีย เป็นสารที่มักใช้เป็นส่วนผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางโดยทั่วไป

น้ำหอม (Fragronce)

  • เป็นสาเหตุของอาการแพ้ที่พบบ่อยที่สุด
  • ควรอ่านและทำความเข้าใจข้อความบนฉลาดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางก่อนการเลือกซื้อทุกครั้ง เช่น ฉลากที่ระบุว่า
  • Unscented หมายความว่า ผลิตภัณฑ์นั้นปราศจากส่วนผสมของน้ำหอม
  • Hypo-allergenic fragrances หมายความว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีส่วนผสมของน้ำหอม แต่มีโอกาสเกิดการแพ้ได้น้อย

สารกันเสีย (Preservatives)

เป็นสาเหตุของอาการแพ้ที่พบได้บ่อยรองลงมา โดยปกติผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางมักเพิ่มส่วนผสมของสารกันเสียเพื่อป้องกันการเจริญของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อที่ผิวหนัง อีกทั้งป้องกันการเสื่อมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ โดยไม่ยับยั้งการเกิดปฏิกิริยากับออกซิเจนหรือแสงสว่าง สารกันเสียที่ผสมในเครื่องสำอาง เช่น พาราเบน (Paraben) อิริดาโซลิดินิล ยูเรีย(Imidozolidinylusea) ควอเตอร์เนียม 15 (Quarternium – 15) ดีเอ็มดีเอ็มไฮแดนโทอิน (DMDM hydantoin) พีนอกซี เอทานอล(Phenoxy ethanol)เมทิลคลอโรไอโซไทอะโซลิโนน (Methyichloroisothiazolinone) และ ฟอร์มัลดีไอต์(Formaldehyde) เป็นต้น อาการแพ้ที่เกิดจากสารเฉพาะตัวสามารถหลีกเลี่ยงได้โดยเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารกันเสียด้วย

ทำอย่างไรเมื่อสงสัยว่าแพ้เครื่องสำอาง

  • หยุดใช้เครื่องสำอางที่สงสัยว่าอาจเป็นสาเหตุของการแพ้ หากอาการดีขึ้น แสดงว่าเครื่องสำอางนั้น เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ วิธีพิสูจน์ง่าย ๆ ว่าเครื่องสำอางตัวนั้นทำให้เกิดอาการแพ้หรือไม่ ให้ทาที่บริเวณท้องแขนติดต่อกัน 2 วัน ถ้ามีผื่นขึ้นแสดงว่าแพ้เครื่องสำอางชนิดนั้น
  • ทดสอบด้วยวิธี Patch test แพทย์ผิวหนังจะเป็นผู้ทดสอบ โดยพิจารณาสารเคมีที่เป็นส่วนผสมอยู่ในเครื่องสำอางในระดับความเข้มข้นที่เหมาะสมเพื่อนำมาทดสอบ การแพ้ที่ผิวหนังบริเวณหลังหรือแขน โดยปกติใช้เวลา 2 วัน ในการอ่านผลครั้งแรก และอีก 2 วัน ในการอ่านผลครั้งต่อไป ถ้ามีอาการผื่นแดงปรากฏบริเวณที่ทดสอบแสดงว่าสารนั้นเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้

ทั้งนี้ เมื่อเกิดอาการแพ้ ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อปรึกษาและรับการรักษาที่ถูกต้อง

ผลิตภัณฑ์ Skinesia มอบความชุ่มชื้นให้แก่ผิวโดยการสร้างผิวให้แข็งแรง มีสารประกอบของผิวหนัง3 ชนิดเสมือนเป็นการสร้างผิวหนังใหม่ที่แข็งแรงข้นไห้กับผิวป้องกันการไม่ให้สูญเสียน้ำแม้กระทั้งตอนนอนให้ผิวสวยช่วยในการชะลอวัยและแข็งแรงได้ยาวนานแม้เวลาผ่านไปเหมาะสำหรับคนไข้ผิวบอบบางแพ้ง่ายโดยไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง

ครีมบำรุงผิวเพื่อปกป้องและฟื้นฟูสภาพผิวจากผิวแห้งเสีย โดยมีสารประกอบของโครงสร้างในชั้นผิวหนังเพื่อทดแทนผิวมีสูตรเข้มข้นเพื่อบำรุงรักษาที่แห้งหยาบกร้าน ลดอาการมีผื่นแดงคัน และป้องกันไม่ให้เกิดเป็นผื่นแพ้กลับมา โดยการสร้างผิวให้แข็งแรงจากธรรมชาติของผิวโดยมีสารสำคัญ มากว่า 7 ชนิด

Scientifically Proven Effects

ceramide complexes

  • Supports the renewal of the skin’s natural protective layerand forms an effective barrier against moisture loss.
  • Particularly suitable for long term protection and repair ofsensitive and dry skin

Shiso Extract

  • A natural anti-allergic & immune regulating substance derived from the green perilla leaves grown in Hokkaido, Japan. Clinically proven that effectively treat skin irritation, allergy, acute&chronic inflammation and  dermatitis

DipotassiumGlycyrrhizinate

  • Effectively treat atopic dermatitis,  subacute or chronic skin diseases, skin irritation /inflammation/allergy.

Phytosphingosine

  • A natural sphingolipid  in human skin  that maintain skin
  • barrier function , as well as,  anti-microbial and anti-inflammatory properties

Tocopheryl acetate

  • Tocopheryl acetateis a form of vitamin E, a natural skin-moisturizer and antioxidant. Its benefit including reducing the formation of free radicals from exposure to UV rays, promoting the healing process, strengthening the skin’s barrier function, protecting the skin barrier’s lipid balance, and reducing skin’s water loss

Aloe vera

  • Relaxing, Calming & Soothing skin
  • Maintain skin’s moisture balance

Cucumber extract

  • has an extremely soothing effect on the skin and antioxidant properties that help soothe, calm skin irritation, and relieve puffy skin.
  • Some of the minerals found are magnesium, potassium and silica; silica helps reduce wrinkles and fine lines by tightening of collagen.
  • Its extract has anti-inflammatory qualities as well as anti-itch which are good for cuts, burns and bug bites; the moisture-regulating is perfect for revitalizing and hydrating

Defensive Rescue oil

  • Prevents skin hyper-reactivity, irritation, allergy, redness
  • Imparts immediate soothing
  • Effectively regenerates the skin barrier
  • Protects & improve stem cells of skin.
  • Anti-aging
  • immediately even skin tone for flawless, radiant skin
  • Pre-treatment with DEFENSIL® Rapid recovery complexes stimulates epidermal stem-cell colony forming efficiency by up to 300 % compared to the untreated control

Ideal for

  1. Repair and restore skin redness, irritation, allergy, dry, stress, aging and all sign of skin inflammation.
  2. Special formula for sensitive skin
  3. Extra gentle for babies and children
  4. Instantly relieves 5 symptoms of eczema; Itch, Dryness, Scaling, Roughness, Redness
  5. Reduce skin’s water loss and maintain skin’s moisture balance.
  6. Excellent clinical results on acne with both anti-microbial property and anti-inflammatory.
  7. Effectively treat skin irritation, allergy, acute&chronic inflammation, atopicdermatitis.
  8. Reveal healthier, younger, smoother, brighter and softer skin.
  9. Help your skin looking younger than you ever feel before.