Fat and Stem cell Injections

Fat and Stem cell Injections

เมื่ออายุมากขึ้นผิวก็เริ่มแสดงปัญหาขึ้น เป็นสัญญาณสำคัญว่าเราต้องดูแลตัวเองมากขึ้นหากไม่อยากแก่กว่าวัยอันควร ผิวหนังที่เริ่มหย่อนคล้อยและไขมันที่ขาดหายไปอายุทำให้ดูแล้วเหมือนมีอายุที่เกินความเป็นจริง อาจดูแลด้วย การทาครีมบำรุงผิว การหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด หรืออีกวิธีคือการใช้เลเซอร์เติมเต็มชั้นไขมันที่หายไป เช่น การใช้สารเติมเต็ม (Filler)

ปัญหาไขมันที่หายไปในผิวนั้นวิธีการรักษาที่ดีที่สุดคือ การนำเอาไขมันของเราเองมาเติมเต็มให้ผิวบนใบหน้ากลับมาดูเด็กใสขึ้นอีกครั้ง เพราะไขมันของตัวเอาเองมีส่วนที่เรียกว่า stem cell ที่มีคุณสมบัติสามารถทำให้ผิวของเรากลับมาอ่อนเยาว์ลงและดูใสขึ้นได้ จุดเด่นของไขมันจากตัวเราเองคือ สามารถอยู่ได้นานกว่าสารเติมเต็มชนิดอื่นๆ จึงเหมาะสำหรับปรับแก้ไขปัญหารูปหน้าและฟื้นฟูสภาพผิว  (Pontius& Williams III,2006) ซึ่งตอนนี้มีรายงานว่าอาจอยู่และคงสภาพผิวได้นานมากกว่า 8 ปี ( Ersek et al.,1998)

ตำแหน่งที่ไขมันมักจะขาดเมื่ออายุเพิ่มขึ้น เช่น ใต้ตาทำให้มีร่องเกิดถุงใต้ตา ร่องแก้ม หรือบริเวณกราม ทำให้กรอบหน้าไม่ชัดจึงดูอายุมากขึ้น ในบางคนอาจพบที่ บริเวณขมับ หน้าผาก รอบดวงตา เป็นต้น

Aging changes were attributed to the shifting of soft tissue vectors in a downward direction

ภาพ1 ไขมันหลังการปั่นแยกเพื่อฉีดตำแหน่งที่ไขมันขาดจากทีมแพทย์ BSL clinic
ภาพ 2 ภาพด้านซ้ายก่อนและด้านขวาหลังการรักษา โดยใช้ยกกระชับหน้าและการปลูกถ่ายไขมัน จะเห็นว่าที่บริเวณร่องแก้ม และ ร่องแก้มดูดีขึ้น
(AT Pontius & EF Williams.Arch Facial Plastic Surg,2006;8:300-305)

การรักษาด้วยการปลูกถ่ายไขมันตนเองนั้น

แต่ก่อนวิธีการรักษาด้วยการปลูกถ่ายไขมันของตนเองไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควร เนื่องจากเกิดการสลายของไขมันหลังการฉีด แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาวิธีการเก็บและการปลูกถ่ายไขมันทำให้เซลล์ในไขมันยังคงมีชีวิตอยู่ได้ดี เพราะเซลล์ในไขมันและสเต็มเซลล์ก็เหมือนสิ่งมีชีวิตที่ต้องการสารอาหารต่างๆไปเลี้ยง การเก็บเซลล์ไขมันจึงเป็นสิ่งสำคัญ

การปั่นแยกและการฉีดไขมันกลับเข้าไปแก้ปัญหาผิว เป็นที่นิยมในคนไข้ที่ต้องการกระชับสัดส่วนอยู่แล้วเช่นที่ พุง หรือ ต้นขา และนำไขมันที่เอาออกมาจากบริเวณนั้นๆมาใช้ต่อประโยชน์ในการดูแลผิวต่อต่อ (Coleman, American Society of Plastic Sugery,2006)

การปลูกถ่ายไขมันอาจมีผลข้างเคียงได้ เปรียบเหมือนเหรียญที่มี 2 ด้านเช่นกัน อาจเกิดอาการบวม , ช้ำ ไม่สม่ำเสมอ ฟกช้ำ เกิดการห้อเลือดได้ ติดเชื้อหลังทำ การอุดตันที่เส้นเลือด เป็นต้น หลังการทำจึงขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองทั้งภายในร่างกายและภายนอกของคนไข้ เพราะฉะนั้นก่อนที่คนไข้จะทำรักษาจึงต้องศึกษาหาข้อมูลและทำความเข้าใจถึงผลดีและผลเสียที่จะเกิดขึ้นหลังการรักษาเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจที่จะรักษา เพื่อประโยชน์และผลการรักษาที่คนไข้พึงพอใจ

ภาพ 3 A ก่อนการรักษา และ B หลังการรักษา บริเวณรอบดวงตา(KRANENDONK&OBAGI. DermatolSurg 2007;33:572–578)