ฝ้า

ฝ้า

ฝ้า คือ รอยคล้ำของผิวหนังสีน้ำตาล สีดำ อาจขึ้นเป็นปื้น หรือเป็นกระจุก ไม่ได้เป็นมาตั้งแต่เกิด ฝ้าเป็นโรคผิวหนังที่ไม่เป็นอันตราย เกิดขึ้นบริเวณผิวหนังโดนแสงแดด เช่น ใบหน้า โหนกแก้ม คาง หน้าผาก ส่วนมากพบในผู้หญิง มักพบในผู้หญิงวัยกลางคน อายุ 25-55 ปี ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดฝ้าคือฮอร์โมนเพศหญิงและแสงแดด

สาเหตุของการเกิดฝ้า

  1. ฝ้าฮอร์โมน เกิดจากฮอร์โมนเพศหญิงคือเอสโทรเจน และโพรเจสเทอโรน ที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดฝ้า ไปกระตุ้นเซลล์ในการสร้างเม็ดสีให้เกิดเม็ดสีมากขึ้นหรือกระตุ้นให้เข้มขึ้น เช่น การหลั่งฮอร์โมนช่วงตั้งครรภ์ การหลั่งฮอร์โมนจากต่อมหมวดไตซึ่งทำให้เซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) ในชั้นผิวหนังผลิตเม็ดสี (Melanin) ออกสู่ผิวหนังไม่สม่ำเสมอ จึงเกิดขึ้นเป็นฝ้า
  2. แสงแดด ก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญในการเกิดฝ้า การได้รับแสง UVA และ UVB เพราะรังสีจากแสงแดดก็มีส่วนไปกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีในผิวหนังผลิตเม็ดสีเมลานินเพิ่มขึ้น ผิวจึงเปลี่ยนสีเข้มขึ้น
  3. เครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน ที่ใช้สารเคมี สารปรอท สารกันบูด ตะกั่ว เช่นครีมหน้าขาวใส ที่ใช้ครีมเปล่านี้หน้าจะขาวใส เรียบเนียน รูขุมขนเล็ก เมื่อทาในตอนแรกๆ แต่รู้หรือไม่ว่า สารที่อยู่ในครีมเหล่านี้ล้วนแต่เป็นตัวการไปกระตุ้นทำให้เกิดฝ้าได้ง่ายๆ แต่เมื่อทานานๆ หน้าก็จะเริ่มมีปัญหา แพ้ง่าย หน้าบอบบางแต่พอหยุดใช้หน้ายิ่งแย่ สุดท้ายจะเห็นมีฝ้าขึ้นทาเท่าไหร่ไม่หายและมีเส้นเลือดฝอยขึ้น หน้าแดง ร่วมทั้ง การใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือผสมสี ก็ทำให้สารเหล่านี้ไปตกค้างที่ใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดเม็ดสีน้ำตาลเข้มเป็นจุดๆ เมื่อสะสามมากขึ้น จึงเกิดกลายเป็นฝ้าได้

ฝ้ามีสองชนิด

  1. เป็นจุดดำที่โหนกแก้มมี 2 ลักษณะ

ลักษณะจุดดำอาจเป็นมาตั้งแต่เด็ก อาจเป็นปานหรือไฝ

ภาพไฝ Hori’s Nevus
โดยทาง BSL clinic สามารถรักษาหายได้

อาจเกิดจากการใช้เครื่องสำอางที่มีสารเคมี ส่วนผสมของสีแดงน้ำหอม จึงทำให้มีสารเคมีตกค้างใต้ผิวหนัง มักพบกับคนไข้อายุ 25-55 ปี

ภาพจุดดำและฝ้าที่โหนกแก้มทั้งสองข้าง BSL clinic สามารถรักษาหายได้
  1. เป็นแผ่นสีดำ ตามแก้ม จมูก หน้าผาก มี 3 แบบ คือ
  • แบบตื้น (Superficial Type) ลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบชัดจะอยู่ในระดับผิวหนังกำพร้า (ผิวหนังชั้นนอก) รักษาโดยการใช้ผลิตภัณฑ์ทาฝ้าอ่อน ๆ และผลิตภัณฑ์กันแดดจะหายได้
  • แบบลึก (Deep Type) ลักษณะเป็นสีม่วงอมน้ำเงินโดยจะเกิด ลึกกว่าผิวหนังกำพร้า จะเกิดความผิดปกติในระดับชั้นผิวหนังแท้ ขอบเขตไม่ชัดการใช้ผลิตภัณฑ์ทาฝ้าอ่อน ๆ และผลิตภัณฑ์กันแดดทำให้ฝ้าจางลงแต่อาจไม่หายขาด การรักษาต้องใช้วิธีอื่นร่วมด้วยเช่น เลเซอร์ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์
  • แบบผสม (Mixed Type) ลักษณะฝ้าทั้งแบบตื้นและแบบลึกผสมกัน เป็นฝ้าที่พบได้บ่อย ซึ่งมี คนไข้มักรักษามาหลายวิธีแล้วแต่พบว่าอาการไม่ดีขึ้นจึงมาพบแพทย์
ภาพลักษณะของฝ้าแบบผสม

วิธีการรักษา และการป้องกันฝ้า

  • วิธีการดึงเอาเม็ดสีที่อยู่ใต้ผิวหนังออกมาโดยการใช้ เลเซอร์ Laser treatment เป็นวิธีการรักษาที่ตรงกับปัญหาฝ้าและได้ผลที่ดี โดยประสบการณ์ของทีมแพทย์ BSL clinic ที่ดูแลปัญหาผิวต่างๆมานานกว่า 30 ปี ในการดูแลคนไข้ที่มีปัญหาเรื่องฝ้า การใช้เลเซอร์แบบดึงเอาเม็ดสีออกร่วมกับการส่งผ่านสารที่สามารถหยุดยั้งการสร้างเม็ดสีและมีความปลอดภัย เพื่อให้การรักษาได้ประสิทธิภาพมากขึ้นและที่สำคัญคือ ฝ้าไม่กลับมาเข้มและขึ้นภายหลังจากหยุดการรักษา
  • วิธีการทำลายให้เม็ดสีโดยการดึงเม็ดสีออก ด้วยวิธีการรักษาโดยเลเซอร์ (กลุ่ม Q –switch laser) ส่งผลดีขึ้นในระหว่างการรักษา แต่อาจทำให้เกิดจุดสีขาวเมื่อหยุดหรือหลังการรักษาก็จะมีโอกาสเข้มขึ้นจึงต้องทำไปเรื่อยๆตลอด วิธีการรักษานี้จึงไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด
  • วิธีการหยุดยั้งการสร้างและกระตุ้นของเม็ดสีที่มีความปลอดภัยสูง ผลิตภัณฑ์จาก Skinesia ที่มีคุณสมบัติในการลดเม็ดสีได้อย่างประสิทธิภาพสูง และสามารถทำงานหยุดยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีได้ครบทั้ง 4 ขั้นตอนคือ
    • Inhibition of melanocyte activation การหยุดยั้งโรงงานผลิตเม็ดสี
    • Reducing amountof tyrosinase การหยุดยั้งสารตั้งต้นในการกระตุ้นสร้างเม็ดสี
    • Inhibiting tyrosinase activity การหยุดยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีโดยวิธีการขัดขวางเอนไซน์การสร้างเม็ดสีเมลานินให้ลดลง
    • Blocking melanintransfer intokeratinocytes การหยุดยั้งการส่งผ่านเม็ดสีสู่ชั้นผิวหนังและสามารถช่วยให้ฝ้าจางโดยลดการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี และทำให้เม็ดสีเมลานินลดลง
  • ในการรักษา ทาง BSL clinic ไม่ใช้สาร ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) สารปรอท สารสเตียรอยด์ หรือสารอันตรายอื่นๆที่จะตกค้างใต้ผิวและทำร้ายผิว ส่งผลให้ผิวหน้าแดง บอบบาง แพ้ง่าย เกิดเป็นจุดด่างขาว หรือขึ้นเป็นปื้นดำเข้มขึ้นแบบถาวร (Ochronosis)

ภาพคนไข้ที่ผิวมีสารไฮโดรควิโนน(Hydroquinone) ตกค้างในผิวหนัง จึงทำให้เกิดเป็นปื้นดำทั่วใบหน้าแบบถาวร(Ochronosis)

วิธีรักษาที่ได้ผลดีในช่วงแรกเท่านั้น คือ การผลัดเซลล์ผิวหน้าด้วยสารเคมี (Chemical Peel) เป็นวิธีที่ช่วยให้ฝ้าประเภทตื้นดูจางลงได้ แต่หลังการรักษาส่งผลให้ผิวหน้า บอบบาง แดง แพ้ง่าย และฝ้าอาจกลับมาได้อีก BSL clinic จึงไม่แนะนำวิธีการรักษาโดยการผลัดเซลล์ผิวด้วยวิธีนี้

เพื่อป้องกันการเกิดฝ้าคนไข้สามารถดูแลตัวเองด้วยวิธีง่ายๆ คือ เมื่อต้องเผชิญกับแสงแดด หรือออกไปนอกอาคาร เล่นกีฬากลางแดด ควรใช้หมวก แว่นตากันแดด ร่ม เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด และใช้ผลิตภัณฑ์ ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพ มี SPF ประมาณ 30ขึ้นไป และ UVAPA +++ ที่มีส่วนผสมของสารสะท้อนรังสี หรือมีส่วนผสมของกลุ่มวิตามินอีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) และควรเลือกครีมกันแดดที่ไม่มีสารเคมีหรือPhysical sunscreen จึงไม่ทำลายผิว ที่สำคัญควรทาทุกวันเพื่อป้องกันไม่ให้ฝ้าขึ้นมาใหม่

หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่ใช้แล้วเห็นผลดีในระยะแรก ขาวใสเร็ว เพราะเครื่องสำอางเหล่านี้ มีสารที่เป็นอันตรายต่อผิว เช่น ครีมหน้าขาวใสเร็ว สารเคมี สารกันบูด หรือสารปรอท สารเหล่านี้เป็นตัวกระตุ้นเม็ดสีทำให้เกิดการกระตุ้นฝ้าได้ง่าย

ภาพก่อนการรักษาคนไข้ที่มีปัญหากระ
และฝ้าโดยมีสีผิวไม่สม่ำเสมอ
ภาพหลังการรักษา โดยทำทำให้เม็ดสีแตกออกและสลายไป
ร่วมกับการแก้ไขร่องใต้ตาด้วยสารเติมเต็ม
ภาพก่อนการรักษาฝ้า
ภาพหลังการรักษา : Laser treatment การดึงเอาเม็ดสีที่อยู่ใต้ผิวหนังออกมา
ภาพก่อนการรักษาฝ้า
ภาพหลังการรักษาฝ้า 4 ครั้งเป็นเวลา 4 เดือนที่ BSL clinic by Ananclinic
ภาพก่อนการรักษา คนไข้ที่ทำเลเซอร์สลายเม็ดสีมาก่อน แล้วมาปรึกษาเราจะรักษาได้ยากกว่าปกติ จะพบว่ามีลักษณะเป็น ด่างขาวบริเวณฝ้าและมีขอบชัดเจนด้วยซึ่ง
ภาพหลังการรักษา คนไข้ที่ทำเลเซอร์สลายเม็ดสีมาก่อนแล้วแต่การรักษาที่ BSL clinic จะเป็นการดึงเอาเม็ดสีออกซึ่งจะไม่เข้มขึ้นหลังการรักษา
ภาพก่อนการรักษาฝ้า
ภาพหลังการรักษาฝ้า3 ครั้ง เป็นเวลา 3 เดือน ที่ BSL clinic by Ananclinic